โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้
1.ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
2.ไซโทพลาซึม
3.นิวเคลียส
ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ หมายถึง โครงสร้างที่ห่อหุ้มเซลล์และไซโทพลาซึมของเซลล์ให้คงรูปร่างและแสดงขอบเขต ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์
เยื่อหุ้มเซลล์
เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) เป็นเยื่อบางๆรอมรอบไซโทพลาซึมพบในเซลล์ทุกชนิดมีความหนาประมาณ 8.5 - 10 นาโนเมตร โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ฟอสโฟลิพิดจัดเรียงตัวกัน 2 ชั้น โดยหันปลายที่มีขั้ว(polar head) ทำหน้าที่ รักษาสมดุลของสารภายในเซลล์โดยการควบคุมการผ่านเข้าออกของสารระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ประกอบด้วยฟอสโฟลิพิดเรียงตัวเป็น 2 ชั้น (lipid bilayer) โดยหันปลายข้างที่ มีขั้ว ( ชอบน้ำ ) ออกด้านนอก หันปลายข้างที่ไม่มีขั้ว ( ไม่ชอบน้ำ ) เข้าด้านในมีโปรตีน คอเลสเทอรอล ไกลโคลิพิด ไกลโคโปรตีน แทรก อยู่การเรียงตัวแบบนี้เรียกว่า ฟลูอิดโมเซอิกโมเดล( Fluid mosaic model )
 |
โครงสร้างแบบ Fluid Mosaic ของเยื่อหุ้มเซลล์
|
ผนังเซลล์ (cell wall)
เป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ห่อหุ้มเซลล์ ป้องกันไม่ให้ของเหลวต่าง ๆ ภายในเซลล์ได้รับอันตราย พบในเซลล์พืช และแบคทีเรีย องค์ประกอบทางเคมีเป็น เซลลูโลส (cellulose) เป็นส่วนมาก และมีสารโปรตีน และลิกนิน (lignin) บ้าง เซลล์สัตว์ไม่มีผนังเซลล์แต่จะมี extracellular matrix (ECM) แทน ECM ประกอบไปด้วย สารพวก glycoproteinsเช่น collagen , proteoglycan complex และ fibronectin รวมทั้งคาร์โบไฮเดรทสายสั้นๆ ฝังอยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์แต่ละชนิดจะมี ECM ที่มีโครงสร้างและองค์ประกอบแตกต่างกันไปตามหน้าที่ของเซลล์นั้นๆ ECM ทำหน้าที่ในการ support , adhesion , movement และ regulation
 |
โครงสร้างผนังเซลล์ของพืช
|
ไซโทพลาซึม
เป็นส่วนที่อยู่ในเซลล์ทั้งหมด ยกเว้นนิวเคลียส ไซโทพลาสซึม เป็นของเหลว มีความข้นโปร่งแสง ประกอบด้วย น้ำประมาณ 75 - 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นสารชนิดอื่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และสารอนินทรีย์ที่อยู่ในรูปสารละลาย ส่วนสารอินทรีย์ มักอยู่ในรูปของคอลลอยด์ (colloid)
หน้าที่ของไซโทพลาสซึม
• เป็นบริเวณที่เกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์
• สลายวัตถุดิบเพื่อให้ได้พลังงานและสิ่งที่จำเป็นสำหรับเซลล์
• สังเคราะห์สารที่จำเป็นสำหรับเซลล์
• เป็นที่เก็บสะสมวัตถุดิบสำหรับเซลล์
• เกี่ยวข้องกับกระบวนการขับถ่ายของเสียของเซลล์
 |
ไซโทพลาซึม
|
หน้าที่ของไซโทพลาสซึม
• เป็นบริเวณที่เกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์
• สลายวัตถุดิบเพื่อให้ได้พลังงานและสิ่งที่จำเป็นสำหรับเซลล์
• สังเคราะห์สารที่จำเป็นสำหรับเซลล์
• เป็นที่เก็บสะสมวัตถุดิบสำหรับเซลล์
• เกี่ยวข้องกับกระบวนการขับถ่ายของเสียของเซลล์
ไซโทซอล
ไซโทซอล เป็นส่วนของไซโทพลาสซึมมีลักษณะเป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลวมีอยู่ประมาณร้อยละ 50-60 ของปริมาตรเซลล์ทั้งหมด เซลล์ส่วนใหญ่มักมัปริมาตรของไซโทสเกเลตอนประมาณ 3 เท่าของปริมาตรนิวเคลียส บริเวณด้านนอกที่อยู่ติดกับเยื่อหุ้มเซลล์เรียกว่า เอกโทพลาซึม (ectoplasm) บริเวณด้านในเรียกว่า เอนโดพลาสซึม (endoplasm) เซลล์บางเซลล์มีการไหลของไซโทพลาสซึมไปรอบ ๆ เซลล์ เรียกว่า ไซโคลซิส (cyclosis) เป็นผลจากการหดและคลายของไมโครฟิลาเมนท์ บริเวณเอนโดพลาสซึม มีลักษณะค่อนข้างเหลวเป็นที่อยู่ของออร์แกเนลล์ต่าง ๆ นอกจากนี้ในไซโทซอลยังอาจพบโครงสร้างอื่น ๆ เช่น ก้อนไขมัน เม็ดสีต่าง ๆ เป็นต้น
 |
ไซโทซอล
|
ออร์แกเนลล์
ในชีววิทยาของเซลล์ ออร์แกเนลล์เป็นโครงสร้างย่อยๆ ภายในเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะ และอยู่ภายในโครงสร้างปิดที่เป็นเยื่อลิพิด คำว่า ออร์แกเนลล์ (organelle) มาจากแนวความคิดที่ว่า โครงสร้างเล็กๆ ในเซลล์นี้เปรียบเหมือนกับอวัยวะ (organ) ของร่างกาย ออร์แกเนลล์มองเห็นได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และแยกให้บริสุทธิ์ได้โดยวิธีการกระบวนการปั่นแยกเซลล์ (cell fractionation) ออร์แกเนลล์มีหลายชนิดโดยเฉพาะในเซลล์ยูแคริโอตของสัตว์ชั้นสูง เซลล์โปรแคริโอตในครั้งหนึ่งเคยคิดว่าไม่มีออร์แกเนลล์ แต่ว่ามีงานวิจัยที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการเกิดขึ้นกับวัวและควายด้วย
 |
ออร์แกเนลล์
|
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม มีลักษณะเป็นท่อแบนใหญ่ บางบริเวณโป่งออกเป็นถุง เรียงขนานและซ้อนกันเป็นชั้นๆ ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่ และมีท่อเชื่อมเรียงต่อกันเป็นร่างแหอยู่ล้อมรอบนิวเคลียส และเชื่อมกับเยื่อหุ้มนิวเคลียสที่ผิวนอกของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม บางบริเวณมีไรโบไซมเกาะติดอยู่ทำให้มองเห็นดูคล้ายผิวขรุขระ เรียกว่า เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ บางบริเวณไม่มีไรโซโซมเกาะติดอยู่ เรียกว่า เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมผิวแบบเรียบ ทั้งสองชนิดมีท่อเชื่อมต่อถึงกัน
 |
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
|
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ(RER) เป็นบริเวณไรโบโซมสังเคราะห์โปรตีน โดยโปรตีนที่ไรโบโซมสังเคราะห์จะบรรจุอยู่ใน เวสิเติล และมีการลำเลี้ยงออกไปสู่นอกเซลล์หรือถูกส่งต่อไปยังกอลจิคอมเพล็กซ์ หรือไปเป็นส่วนประกอบของ เอหุ้มเซลล์เป็นต้น เซลล์ที่มี REA มาก คือ เซลล์ที่ผลิตโปรตีนสำหรับใช้นอกเซลล์ เช่น เซลล์ตับอ่อนที่ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ย่อยสารอาหารต่างๆ
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ (SER ) ทำหน้าที่สังเคราะห์สารสเตรอยด์ เช่น ฮอร์โมเพศ ไตรกลีเซอไรด์ และสารประกอบของคอเลสเทอรอล นอกจากนี้ SER ยังทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษและควบคุม การผ่านเข้าออกของแคลเซียมไอออนในกล้ามเนื้อยึดกระดูกและกล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ที่มี SER มาก เช่น เซลล์สมอง ต่อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่
ไรโบโซม
ไรโบโซม (Ribosome) เป็นออร์แกแนลล์ที่ประกอบด้วยโปรตีนและ rRNA พบทั้งในโปรคาริโอตและยูคาริโอตแต่มีขนาดต่างกัน ในแบคทีเรียมี 2 หน่วยย่อย คือ ขนาด 30S และ 50S ซึ่งจะรวมกันเป็นไรโบโซมขนาด 70S ส่วนในยูคาริโอต มี 2 หน่วยย่อย คือ ขนาด 40S และ 60S ซึ่งจะรวมกันเป็นไรโบโซมขนาด 80S ในคลอโรพลาสต์และไมโตคอนเดรียมีไรโบโซมเป็นของตนเอง ซึ่งคล้ายไรโบโซมของแบคทีเรียแต่มีความซับซ้อนน้อยกว่า หน้าที่คือเป็นแหล่งที่เกิดการอ่านรหัสจากยีนในนิวเคลียส ซึ่งถูกส่งออกจากนิวเคลียสในรูป mRNA มาสร้างเป็นโปรตีน
 |
ไรโบโซม |
ไรโบโซม ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนโดยการถอดรหัสจาก mRNA ไรโบโซมมีหน้าตัด 25 นาโนเมตร Free ribosomes ไม่มีตำแหน่งที่อยู่ที่แน่นอนเพราะสามารถเคลื่อนที่ไปได้ทั่วไซโทพลาสซึม (ภายในเซลล์เมมเบรน)
กอลจิคอมเพล็กซ์
กอลจิคอมเพล็ก หรือกอล จิบอดี เป็นกลุ่มของถุงกลมแบนขนาดใหญ่ บริเวณตรงขอบโป่งพองใหญ่ ขึ้น กอลจิคอมเพล็กมักพบอยู่ใกล้กับ ER มีในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์เกือบทุกชนิด ยกเว้น เซลล์เม็ดเลือดแดงที่โตเต็มที่แล้วของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้นแบบ unit membrane มีลักษณะเป็นท่อมีรูปร่าง cisternae ทั้งเป็นท่อและระเปาะ เรียงซ้อนกันหลายๆอัน membrane หนา 60 Aํ กว้าง 100-150 Aํ ซ้อนกันประมาณ 5-10 ชั้น โดยทั่วไปพบ 2-8 อัน ตรงปลายสุดของถุงโป่งออก ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่
 |
กอลจิคอมเพล็กซ์ |
หน้าที่ของกอลจิคอมเพล็กซ์
- สังเคราะสารประกอบหลายชนิด เช่น คาร์โบฯ , Glycoprotein , lipoprotein
- ขับสารประกอบต่างๆ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ไขมัน ออกทางเยื่อหุ้มเซลล์
- สร้าง acrosome ที่หัวอสุจิ
- สร้างผนังเซลล์ และ แผ่นกั้นเซลล์ (cell plate)
- สร้างเมือก (ถ้าเป็นพืชสร้างที่หมวกราก ถ้าเป็นสัตว์จะสร้างที่เยื่อบุผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร)
- สังเคราะห์ไลโซโซมได้
- จัดเรียงตัวของสารเพื่อให้ได้โปรตีนที่มีสภาพเหมาะสม ที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆได้
- เกี่ยวข้องกับการสร้าง "nematocyst" คือ เข็มพิษในสัตว์พวก แมงกระพรุน ไฮดร้า
- เกี่ยวข้องกับการสร้าง Acetyl coline (สารสืบประสาท)
ไลโซโซม
พบครั้งแรกโดย คริสเตียน เดอ ดูฟ (Christain de Duve) เมื่อปี พ.ศ. 2495 โดยดูจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน คล้ายถุงลม รูปร่างกลมรี เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.15-0.8 ไมครอน พบเฉพาะในเซลล์สัตว์เท่านั้น มักพบใกล้กับกอลจิบอดี ไลโซโซม ยังเป็นส่วนสำคัญ ในการย่อยสลาย องค์ประกอบของเซลล์ หลังจากเซลล์ตาย โดยพบมาก ในฟาโกไซทิกเซลล์ (phagocytic cell) เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว และเซลล์นระบบเรติคูโล เอนโดทีเลียม (reticuloendothelial system) เช่น ตับ ม้าม นอกจากนี้ ยังพบไลโซโซม จำนวนมาก ในเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีการสลายตัวเอง เช่น เซลล์ส่วนหาง ของลูกอ๊อด เป็นต้น ไลโซโซม มีเอนไซน์หลายชนิด จึงสามารถย่อยสลาย สารต่างๆ ภายในเซลล์ได้ดี
 |
ไลโซโซม |
ไลโซโซม เป็นออร์แกแนลล์ ที่มีเมมเบรนห่อหุ้ม เพียงชั้นเดียว ซึ่งไม่ยอมให้เอนไซม์ต่างๆ ผ่านออก แต่เป็นเยื่อที่สลายตัว หรือรั่วได้ง่าย เมอื่เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ หรือขณะที่มีการเจริญเติบโต เยื่อหุ้มนี้มีความทนทาน ต่อปฏิกิริยาการย่อยของเอนไซม์ ที่อยู่ภายในได้ เอนไซม์ที่อยู่ในถุงของไลโซโซมนี้ เชื่อกันว่าเกิดจากไลโซโซม ที่อยู่บน RER สร้างเอนไซม์ขึ้น แล้วส่งผ่านไปยังกอลจิบอดี แล้วหลุดเป็นถุงออกมา
หน้าที่ของไลโซโซม ไลโซโซม มีหน้าที่สำคัญ คือ ย่อยสลายอนุภาค และโมเลกุลของสารอาหาร ภายในเซลล์ ย่อย หรือทำลายเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายหรือเซลล์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาวกิน และย่อยสลายเซลล์แบคทีเรีย ทำลายเซลล์ที่ตายแล้ว หรือเซลล์ที่มีอายุมาก โดยเยื่อของไลโซโซม จะฉีกขาดได้ง่าย แล้วปล่อยเอนไซม์ออกมา ย่อยสลายเซลล์ดังกล่าว ย่อยสลายโครงสร้างต่างๆ ของเซลล์ ในระยะที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลง และมีเมตามอร์โฟซีส (metamorphosis) เช่น ในเซลล์ส่วนหางของลูกอ๊อด
ชนิดของไลโซโซม ไลโซโซมระยะแรก (primary lysosome) มีน้ำย่อยที่สังเคราะห์มาจากไรโบโซม และเก็บไว้ในกอลจิบอดี แล้วหลุดออกมาเป็นถุง ไลโซโซมระยะที่ 2 (secondary lysosome) เกิดจากไลโซโซมระยะแรก รวมตัวกับสิ่งแปลกปลอม ที่เข้ามาในเซลล์ โดยวิธีฟาโกไซโตซิส (phagocytic) หรือ พิโนไซโตซิส (phagocytosis) แล้วมีการย่อยต่อไป เรซิดวล บอดี (residual body) เป็นส่วนที่เกิดจากการย่อยอาหาร ในไลโซโซมระยะที่สองไม่สมบูรณ์ มีกากอาหารเหลืออยู่ ในเซลล์บางชนิด เช่น อะมีบา โปรโตซัว จะขับกากอาหารออก ทางเยื่อหุ้มเซลล์ โดยวิธีเอกโซไซโตซิส (exocytosis) หรือในเซลล์บางชนิด อาจสะสมไว้เป็นเวลานาน ซึ่งสามารถใช้บอกอายุของเซลล์ได้ เช่น รงควัตถุที่สะสมไว้ในเซลล์ประสาท ของสัตว์ที่มีอายุมาก ออโตฟาจิก แวคิวโอ หรือ ออโตฟาโกโซม (autophagic vacuole or autophagosome) เป็นไลโซโซม ที่เกิดในกรณีพิเศษ เนื่องจากกินส่วนต่างๆ ของเซลล์ตัวเอง เช่น ไมโตคอนเดรีย ร่างแหเอนโดปลาสซึม พบมากในเซลล์ตับ
แวคิวโอล
แวคิวโอล มีลักษณะเป็นถุงที่มีเยื่อหุ้ม สำหรับเวสิเคิลที่มีขนาดใหญ่อาจเรียกว่าแวคิวโอล แวคิวโอลมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน แวคิวโอลมีหลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป คือ คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำ พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น อะมิบา พารามีเซียม เป็นต้น ฟูดแวคิวโอล ทำหน้าที่บรรจุอาหารที่รับมาจากภายนอกเซลล์เพื่อย่อยสลายต่อไป พบในเซลล์เม็ดเลือดขาวและสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แวคิวโอลพบในเซลล์พืช เรียกว่า แซบแวคิวโอล ขณะที่เซลล์พืชอายุน้อยมีแวคิวโอลขนาดเล็กจำนวนมาก แต่เมื่อเซลล์มีอายุมากขึ้น แวคิวโอลเหล่านี้จะรวมเป็นถุงเดียวกันทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำหน้าที่สะสมสารบางชนิด เช่น สารสี ไอออน น้ำตาล กรดอะมิโนผลึกและสารพิษต่างๆ
ไมโทคอนเดรีย
พบครั้งแรก โดยคอลลิกเกอร์ (Kollicker) ไมโทคอนเดรีย ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลม ท่อนสั้น ท่อนยาวหรือกลมรีคล้ายรูปไข่ โดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศุนย์กลางประมาณ 0.2 -1 ไมครอน และยาว 5-7 ไมครอนประกอบด้วยสารโปรตีน ประมาณ 60-65 % และลิพิตประมาณ 35-40% ไมโทดอนเดรีย เป็นออร์แกเนลล์ที่มียูนิต เมมเบรน หุ้ม 2 ชั้น (Double unit membrane) โดยเนื้อเยื่อชั้นนอกเรียบมีความหนาประมาณ60-70 อังตรอม เยื่อชั้นในพับเข้าด้านในเรียกว่า คริสตี (Cristae)มีความหนาประมาณ 60-80 อังตรอม ภายในไมโทดอนเดรีย มีของเหลวซึ่งประกอบด้วยสารหลายชนิด เรียกว่า มาทริกซ์ (Matrix) มี ribosome ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ ribosome ของ พวก Prokaryote ไมโทดอนเดรียนอกจากจะมีสารประกอบเคมีหลายชนิดแล้ว ยังมีเอนไซม์ที่สำคัญในการสร้างพลังงานจากการหายใจ โดยพบเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle)ในมาทริกซ์และพบเอ็นไซม์ในระบบขนส่งอิเลคตรอน (Electron transport system) ที่คริสตีของเยื่อชั้นในนอกจากนี้ ยังพบเอนไซม์ในการสังเคราะห์ DNA สังเคราะห์ RNA และโปรตีนด้วย
 |
ไมโทคอนเดรีย |
พลาสติด
พลาสติดเป็นออร์แกเนลที่มีเยื้อหุ้ม 2 ชั้นพบเฉพาะในเซลล์พืชเท่านั้น สาหร่าย ยกเว้นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน พลาสติดจำแนกตามลักษณะของเม็ดสี แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
 |
พลาสติด |
1.คลอโรพลาสต์ (chloroplast) เป็นพลาสติดที่มีสีเขียวเนื่องจากมีสารคลอโรฟิลล์เป็นองค์ประกอบเป็นส่วนใหญ่ เป็นแหล่งสร้างอาหารของเซลล์พืชและโพรทิสต์บางชนิด ภายในคลอโรพลาสต์มีโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายถุงแบนๆที่มีเยื่อหุ้มเรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) และ ไทลาคอยด์เรียงซ้อนกันเรียกว่า กรานุม (granum) แต่ละกรานุมมีโครงสร้างเชื่อมต่อถึงกัน บนไทราคอยด์มีสารสีที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น คลอโรฟิลล์ แคโรทีนอยด์ (carotenoid) และมีของเหลวที่เรียกว่า สโตรมา (stroma) อยู่โดยรอบไทลาคอยด์ ในของเหลวนี้มีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะด้วยแสง
2.โครโมพาสต์ (chromoplast) เป็นพลาสติด์ที่มีสารที่ทำให้เกิดสีต่างๆยกเว้นสีเขียว ทำให้ดอกไม้ ผลไม้และใบไม้ มีสีสันสวยงาม เช่น ผลสีแดงของพริก รากของแครอท และใบไม้แก่ๆเนื่องจากมีสารพวกแคโรทีนอยด์ จึงทำให้เกิดสีแดง สีส้ม และสีเหลือง
3.ลิวโคพลาสต์ (leucoplast) เป็นพลาสติต์ที่ไม่มีสี มีหน้าที่สะสมเม็ดแป้งที่ได้จากการสังเคราะห์แสง พบในเซลล์ของรากและเซลล์ที่สะสมอาหาร เช่น มันเทศ มันแกว เผือก กล้วยและใบพืชบริเวณที่ไม่มีสี
เซนทริโอล
เป็นออร์แกแนลที่ไม่มีเยื่อหุ้มพบในเซลล์สัตว์ทุกชนิดและเซลล์ของโพรตีสท์บางชนิด เซนทริโอล มีลักษณะเป็นทรงกระบอกสองอันวางตัวในแนวตั้งฉากกัน แต่ละอันประกอบด้วยไมโครทูบูล เรียงตัวกันเป็นวงกลม 9 กลุ่มและในแต่ละกลุ่มประกอบด้วยไมโครทูบูล 3 อันตรงกลางไม่มีไมโครทูบูลอยู่ โครงสร้างของเซนทริโอลจึงเป็นแบบ 9+0 (9+0 = 27 )
 |
เซนทริโอล |
หน้าที่ของเซนทริโอล
1. สร้างเส้นใยไมโทติก ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของโครโมโซมในการบวนการแบ่งเซลล์ของสัตว์ ในเซลล์พืช จะมีโพลาร์แคป ทำหน้าที่คล้ายเซนทริโอลในเซลล์สัตว์ไมโทติกสปินเดิลประกอบด้วยไมโครทูบูลเรียง ตัวเป็น 9+0 (9+0 = 9 ) คือมีไมโครทูบูลเพียง 9 เส้นและรอบ ๆ เซนทริโอลจะมีไมโทติกสปินเดิลยื่นออกมาโดยรอบมากมายซึ่งเรียกว่า แอสเทอร์
2. ทำหน้าที่เป็นเบซัลบอดี สร้างและควบคุมการเคลื่อนไหวของซิเลีย และแฟลเจลลัม โดยเบซัลบอดีประกอบด้วย ไมโครทูบูลเรียงตัวเป็น 9+0 (9+0 = 27 ) เหมือนเซนทริโอล
3. ให้กำเนิดซิเลียและแฟลเจลลัม ซิเลียและแฟลเจลลัมเป็นออร์แกแนลที่มีเยื่อหุ้มและมีโครงสร้างแตกต่างจากเซนทริโอล เพราะประกอบด้วยไมโครทูบูลเรียงตัวเป็นวง 9 กลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไมโครทูบูล 2 อัน และครงกลางมีไมโครทูบุลอิสระอีก 2 อันดังนั้นโครงสร้างของซิเลียและแฟลเจลลัมจึงเป็น 9+2 (9+2 = 20 ) ซิเลียต่างจากแฟลเจลลัมตรงที่ขนาดโดยทั่วไปซิเลียมีขนาดเล็กกว่าแฟลเจลลัม
และจำนวนซิเลียต่อเซลล์มักมีจำนวนมากกว่าแฟลเจลลัม
ไซโทสเกเลตอน
ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) เป็นเส้นใยโปรตีนที่เชื่อมโยงกันเป็นร่างแหเพื่อค้ำจุลรูปร่างของเซลล์และเป็นที่ยึดเกาะของออร์แกเนลล์ เช่น ไมโทคอนเดรีย และยังทำหน้าที่ลำลเยงออร์แกเนลล์ให้เคลื่อนที่ภายในเซลล์ ไซโทสเกเลตอนในเซลล์พืชและสัตว์ แบ่งได้เป็น 3 ชนิด ตามชนิดของหน่วยย่อยที่เป็นองค์ประกอบได้แก่
 |
ไซโทสเกเลตอน
|
1. ไมโครฟิลาเมนท์ (microfilament) ประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 7 นาโนเมตร เกิดจากโปรตีนแอกทินซึ่งมีรูปร่างกลมต่อกันเป็นสาย 2 สายพันบิดกันเป็นเกลียวคล้ายสายสร้อยไข่มุก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเซลล์
2. ไมโครทิวบูล(microtubules)เป็นหลอดกลวงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 นาโนเมตร เกิดจากโปรตีนที่เรียกว่า ทูบูลิน (tubulin) เรียงต่อกันเป็นสาย ไมโครทิวบูล เป็นโครงสร้างของเส้นใยสปินเดิล ซิเลีย เซนทริโอด แฟลเลลัม และยังทำหน้าที่ยึดและลำเลียงออร์แกเนลล์ภายในเซลล์
3. อินเทอร์มิเดียทฟิลาเมนท์ (intermediate filament) เป็นเส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 นาโนเมตร ประกอบด้วยมีเส้นใยโปรตีนหน่วยย่อย ซึ่งเรียงตัวเป็นสายยาว ๆ 4 สาย 8 ชุด พันบิดกันเป็นเกลียว